วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนครั้งที่  12
วันจันทร์ ที่ 2 เดือน เมษายน พ.ศ. 2561
เนื้อการเรียน
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาที่ต้องอาศัยสมองจัดกระทำกับข้อมูลต่าง ๆ ที่ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าเข้าไปในสมอง กระบวนการทางสติปัญญานี้เราอาจเรียกว่า กระบวนการคิด ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งของการเรียนรู้นั้นเอง
ทฤษฎีการเรียนรู้ตามธรรมชาติสมอง (Brain-Based Learning) หรือ BBL เกิดจากความสนใจของนักการศึกษา นักจิตวิทยา และนักวิทยาศาสตร์ด้านสมอง มองว่า การจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนที่แบ่งเป็นระดับชั้นต่าง ๆ ไม่ใช่ การเรียนรู้ที่แท้จริงของมนุษย์ แต่เป็นวิธีคิดของมนุษย์ที่จะจัดการ ศึกษา เรียนรู้ ให้สอดคล้องกับข้อจำกัดที่มีอยู่ เช่น ผู้สอนจำนวนน้อย กับ ผู้เรียนจำนวนมากและหลากหลาย การแบ่งชั้นเรียนตามช่วงอายุของผู้เรียน เพื่อสะดวกในการจัด
ทฤษฎีการเรียนรู้ตามธรรมชาติสมอง เป็นแนวทางจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีการทำงานของสมอง และธรรมชาติสมองของเด็กแต่ละคน โดยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ เราสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานของสมองได้ด้วยการกระตุ้นที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเรียนรู้ ได้แก่ ยีนส์ อาหาร การออกกำลังกาย ดนตรี ศิลปะ ความรัก ความรู้สึกท้าทาย และการได้ข้อมูลย้อนกลับ เป็นต้น
หน้าที่ของสมอง
สมองทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญของร่างกาย เช่น การทำงานของหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมนต่าง ๆ รวมทั้ง สติปัญญา ความคิด การเรียนรู้ ความฉลาด พฤติกรรม และบุคลิกภาพของคน
การทำงานของสมอง
สมองมีองค์ประกอบที่ซับซ้อนมากมาย สมองของคนเราไม่ได้ทำงานแยกกันเป็นซีกซ้าย ซีกขวา แต่ทำงานเชื่อมโยงกันทั้งหมด
สมอง แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก คือ สมองซีกซ้าย-ขวา สมองส่วนหน้า-หลัง และ สมองส่วนบน-ล่าง ในสมองแต่ละซีกประกอบด้วย กลุ่มเซลล์ประสาทนับล้านกลุ่มที่ติดต่อถึงกันด้วยเส้นใยประสาท โดยเซลล์ประสาท 1 ตัว จะมีเส้นใยประสาทติดต่อกับเซลล์ประสาทอื่น หรือในกลุ่มอื่นเป็นหมื่น ๆ เส้นใย และเชื่อมต่อไปยังเซลล์ประสาทในสมองซีกตรงข้าม เช่น สมองซีกซ้ายเชื่อมต่อกับสมองซีกขวา สมองส่วนหน้าเชื่อมต่อกับสมองส่วนหลัง เป็นต้น
เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์จะติดต่อกลับไปกลับมาระหว่างเซลล์ และกลุ่มเซลล์ประสาท ทำให้ไม่ว่าจะมีปฏิบัติการอย่างใดเกิดขึ้นก็สามารถมีผลต่อสมองทั้งสมองได้ เซลล์ประสาทแต่ละตัวจะรับข้อมูลเข้าและส่งข้อมูลออกในเวลาเดียวกัน การเชื่อมโยงโต้ตอบผ่านใยประสาท ทำให้สมองแต่ละส่วนทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนรู้หรือการทำงานต่าง ๆ ของคนเกิดจากการทำงานร่วมกันของสมอง ไม่ได้ใช้สมองเพียงซีกใดซีกหนึ่งเท่านั้น
ความสามารถของสมอง
นักจิตวิทยาได้ค้นพบความสามารถด้านการคิดของสมองที่ช่วยให้มนุษย์สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ สามารถสร้างสรรค์และค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุข
สมองมีความสามารถอย่างน้อย 3 ประการ คือ
1. ความสามารถสร้างภาพในใจ  ภาพในใจ หรือ ภาพในความคิด (Mental Image) เป็นสิ่งที่สมองสร้างขึ้น เมื่อประสาทสัมผัสรับข้อมูล จะส่งสัญญาณสู่สมอง สมองจะนำข้อมูลที่ได้รับไปเปรียบเทียบกับสิ่งของประเภทเดียวที่เก็บไว้ในความทรงจำ โดยเชื่อมโยงข้อมูลความรู้ประสบการณ์ในอดีต แปรข้อมูลที่ได้รับเป็นภาพ ตามที่ตนเข้าใจอย่างอัตโนมัติ สมองสามารถสร้างภาพต่าง ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องมองเห็น ภาพที่เกิดขึ้นในใจเป็นส่วนสำคัญของการคิด เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการจินตนาการ ซึ่งทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา และการพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ
2. ความสามารถสร้างมโนทัศน์ คนเราสร้างมโนทัศน์ของทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรม และสิ่งที่เป็นนามธรรม ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจดจำ การจำแนก แยกแยะ การจัดหมวดหมู่ การค้นหาลักษณะเด่นพิเศษ ซึ่งช่วยให้สมองสามารถจัดระเบียบข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบง่าย ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการบันทึกเป็นความทรงจำ และนำกลับมาใช้ และช่วยให้เกิดความเข้าใจในการรับรู้ข้อมูลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันได้ง่ายขึ้น
3. ความสามารถใช้เหตุผลเพื่อการตัดสินใจ คนเรามักใช้เหตุผลแบบนิรนัย (Deductive Reasoning) และแบบอุปนัย (Inductive Reasoning)

การใช้เหตุผลแบบนิรนัยยึดหลักว่า เราเชื่อว่า สิ่งที่นำมาอ้างนั้นถูกต้องเป็นจริง ดังนั้น ย่อมนำไปสู่ข้อสรุปที่เป็นจริงด้วย ข้ออ้างต่าง ๆ ที่เราคิดว่า เป็นจริง จะเป็นเหมือนฐานข้อมูลในสมอง เมื่อมีข้อมูลหรือข้ออ้างใหม่ ๆ เข้ามา เราจะเอาเข้ามาเปรียบเทียบเพื่อหาข้อสรุปว่า เราจะตัดสินเรื่องนั้นอย่างไร โดยข้อสรุปของเราจะถูกต้อง ถ้าข้ออ้างที่เราคิดนั้นถูกต้อง
การใช้เหตุผลแบบอุปนัย เป็นกระบวนการใช้เหตุผลโดยสรุปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน อย่างเฉพาะเจาะจงหลาย ๆ กรณี
การจัดการเรียนรู้ให้สัมพันธ์กับสมอง
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญกับการทำงานของสมอง ทฤษฎีหนึ่ง คือ ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ของ Howard Gardner ทฤษฎีนี้ให้แนวทางในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถของคนเราที่มีถึง 8 ด้าน ได้แก่
1. ภาษาศาสตร์ (Linguistic Ability) ความสามารถในการใช้ภาษา ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน
2. ตรรกะ - คณิตศาสตร์ (Logical-Mathematic Ability) ความสามารถในการใช้เหตุผล และตัวเลข
3. มิติสัมพันธ์ (Spatial Ability) ความสามารถในการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างระยะ ขนาด ตำแหน่ง และการมองเห็น (มิติ)
4. การเคลื่อนไหวของร่างกาย (Bodily-Kinesthetic Ability) ความสามารถในการควบคุม และการแสดงออกผ่านอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น มือ เท้า
5. ดนตรี (Musical Ability) ความสามารถที่จะซึมซับ และเข้าถึงสุนทรียทางดนตรี แยกแยะ และแสดงออก
6. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Ability) ความสามารถในการเข้าใจ รับรู้ แยกแยะความแตกต่างในอารมณ์ สมาธิ แรงกระตุ้น แรงจูงใจ และความรู้สึกของผู้อื่น
7. ความเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Ability) ความสามารถในการเข้าใจตนเองและปรับตัวบนฐานแห่งความเข้าใจนั้น
8. การเข้าถึงลักษณะธรรมชาติ (Naturalist Ability) ความสามารถในการรู้จักและเข้าใจธรรมชาติ ชีวิตในสิ่งแวดล้อมทั้งของสัตว์และของพืช

ผู้สอนต้องค้นหาความสามารถเหล่านี้ในตัวผู้เรียนแต่ละคนให้พบแล้ว จัดการศึกษาที่ส่งเสริมและกระตุ้นความสามารถนั้น ๆ นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการทำงานของสมองตามธรรมชาติ ควรจัดการเรียนรู้ให้มีลักษณะดังต่อไปนี้
1. การเรียนรู้ในขณะที่ผู้เรียนมีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสม เช่น ไม่อิ่ม หรือ หิวเกินไป มีการพักผ่อนเพียงพอ
2. การเรียนรู้มีความสามารถต่อชีวิต หรือ เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของผู้เรียน
3. การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีใจจดจ่อ หรือ มีสมาธิ โดยมีการกระตุ้นผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ มีการพัก และทบทวนสิ่งทีเรียนรู้ไปแล้ว
4. การเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนจดจำได้ มีวิธีกระตุ้นให้ความจำอยู่ได้นาน ๆ เช่น ซักถาม ให้อธิบายสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ไป ให้ดูภาพ หรือ ฟังเสียง เป็นต้น
5. การเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ได้ในสถานการณ์อื่น
การเรียนการสอน
การเรียนการสอนแบบไฮสโคป เป็นการสร้างองค์ความรู้จากการที่เด็กได้ลงมือจัดกระทำกับอุปกรณ์ หรือสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นประสบการณ์ตรง  โดยที่ครูจะเป็นคนเตรียมอุปกรณ์ให้กับเด็กและกระตุ้นให้เด็กพัฒนาและดำเนินกิจกรรม โดยใช้หลักปฏิบัติ 3  ประการ  คือ
-          การวางแผน ( Plan ) เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติหรือดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมาย  มีการสนทนาระหว่างครับเด็ก  ว่าจะทำอะไร อย่างไร  การวางแผนกิจกรรมอาจจะใช้แสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็ก  เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือก และตัดสินใจ
-          การปฏิบัติ ( Do ) คือการลงมือกระทำตามแผนที่วางไว้  เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด แก้ปัญหา  ตัดสินใจและทำด้วยตนเอง  เป็นส่วนที่เด็กได้มีการพัฒนาการพูดและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง
-          การทบทวน ( Review ) เป็นช่วงที่ได้งานตามจุดประสงค์  ช่วงนี้จะมีการอภิปรายและเล่าถึงผลงานที่เด็กทำเพื่อทบทวนว่า เด็กสามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้หรือไม่  มีการเปลี่ยนแปลงแผนอย่างไร  และชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างแผนกับการปฏิบัติ  และผลงานที่ทำ รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับ
ทดสอบจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์วันพุธ
1.  หน่วย  อาหารดีมีคุณค่า
คำแนะนำ  - เมื่อเล่านิทานควรมีฉากประกอบ
2.  หน่วย  ผีเสื้อ
คำแนะนำ  - ควรร้องเพลงภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง
                 -  สนทนาเกี่ยวกับเนื้อเพลง
3.  หน่วย  ประสาทสัมผัสทั้ 5
คำแนะนำ  -  ควรมีตารางสำหรับนำเสนอข้อมูล
4.  หน่วย  บ้านแสนรัก
คำแนะนำ  - ควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการติดความสัมพันธ์ของคนในบ้าน
5.  หน่วย  ใต้ร่มเงาไม้
คำแนะนำ  - การเขียนขั้นตอนการปลูกถั่วให้เขียนเป็นกล่องข้อความแล้วใช้ลูกศรชี้ลงล่าง


บันทึกการเรียนครั้งที่  11
วันจันทร์ ที่ 26 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2561
เนื้อการเรียน
ทดสอบจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ตามแผนการสอนวัน อังคาร
1. หน่วย  ประสาทสัมผัสทั้ 5



คำแนะนำ  -  เพลงที่ร้องขั้นนำให้สอดคล้องกับเนื้อหา
                 -  จัดวางสื่ออุปกรณ์ให้เรียบร้อย
                 - ควรระวังอันตรายในการดม

2. หน่วย  อาหารดีมีคุณค่า


คำแนะนำ  -  ขั้นนำควรใช้เป็นเพลงเกี่ยวกับการเลือกซื้ออาหาร
                 -  ควรให้เด็กวิเคราะห์ประเภทของอาหารที่ควรรับประทานและอาหารที่ไม่ควรรับประทาน

3. หน่วย  ผีเสื้อ


คำแนะนำ  -  ควรถามเด็กขณะที่เด็กสังเกตผีเสื้อด้วย
                 -  รูปภาพของผีเสื้อควรชัดเจน
                 -  เมื่อวิเคราะห์ลักษณะของผีเสื้อแล้วควรสรุปด้วย

4. หน่วย  บ้านแสนรัก


คำแนะนำ  -  ทบทวนวัสดุที่ใช้สร้างบ้านของแต่ละหลัง
                 -  สอนเสริมเรื่องระยะเวลาในการสร้างบ้าน


บันทึกการเรียนครั้งที่  10
วันจันทร์ ที่ 19 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2561
เนื้อการเรียน
ทดสอบจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ตามแผนการสอนวัน อังคาร
1. หน่วย  ใต้ร่มเงาไม้




คำแนะนำ  -  สื่อต้องชัดเจน  เช่นรูปภาพต้นไม้  ต้องมองเห็นได้ชัดเจน
                 -  ควรเสริมความรู้เกี่ยวกับต้นไม้ให้กับเด็ก
                -  เกมที่นำมาสอนควรสอดคล้องกับสื่อแหล่งการเรียนรู้ในแผน

2. หน่วย  ผลไม้เพื่อสุขภาพ



คำแนะนำ   -  คำคล้องจองควรสอดคล้องกับแผนการสอน
                   -  ควรนำผลไม้ใส่ภาชนะให้เด็กได้สัมผัสทุกคน (จับ , ดม , ชิมรส )

3. หน่วย  ตัวฉัน
คำแนะนำ   -  ไม่ควรให้เด็กออกมาเป็นหุ่นหน้าห้องเรียน เพราะ จะทำให้เด็กรู้สึกเป็นจุดด้อย  แต่ให้ใช้เป็นรูปภาพแทน




บันทึกการเรียนครั้งที่  9
วันจันทร์ ที่ 12 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2561
เนื้อการเรียน
ทดสอบการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
1. หน่วย  อาหารดีมีคุณค่า


2. หน่วย  ใต้ร่มเงาไม้


3. หน่วย  ตัวฉัน


4. หน่วย  ผลไม้เพื่อสุขภาพ


5. หน่วย  ประสาทสัมผัสทั้ง 5


คุณครูให้คำแนะนำ ว่า ถ้าแต่ละวันควรจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวให้แตกต่างกันเช่นวันที่หนึ่งเดินตามจังหวะวันที่สองเดินด้วยปลายเท้าวันที่สามเดินด้วยสันเท้าเป็นต้น
ได้จัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะที่หน่วยประสาทสัมผัสทั้ง 5  แบบ เคลื่อนไหวตามมุม โดยมี
มุมที่ 1 มุม ร้านหนังสือ  โดยใช้ตาในการรับรู้
มุมที่ 2 มุม ร้านลำโพง  โดยใช้หูในการรับรู้
มุมที่ 3 มุม ร้านน้ำหอม  โดยใช้จมูกในการรับรู้
มุมที่ 4 มุม ร้านอาหาร โดยใช้ปากในการรับรู้
6. หน่วย  ผีเสื้อ


7. หน่วย  บ้านแสนรัก




บันทึกการเรียนครั้งที่  8
วันจันทร์ ที่ 5 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2561
***ไม่ได้มาเรียนลาป่วย***


บันทึกการเรียนครั้งที่  7
วันจันทร์ ที่ 29 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
***สัปดาห์สอบกลางภาค***


บันทึกการเรียนครั้งที่  6
วันอังคาร ที่ 20 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
เนื้อการเรียน
คุณครูมอบหมายให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มทำ My  Maping


สอดคล้องกับ
-          ทักษะวิทยาศาสตร์
-          ทักษะคณิตศาสตร์
-          ทักษะศิลปะ
-          ทักษะภาษา
-          ทักษะสุขศึกษา / พลศึกษา
-          ทักษะคุณธรรม จริยธรรม สังคม
ถ้าทำกิจกรรมตามทักษะและให้ไปดูในกรอบมาตรฐานแต่ละทักษะ
กิจกรรมที่เด็กทำทุกวันคือวาดภาพสีเทียนและปั้นดินน้ำมัน
จากกิจกรรมจะสะท้อนกลับพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน
- การเลือกกิจกรรมจากหลักสูตร 4 สาระคือ
1. เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก
2. บุคคลและสถานที่
3. ธรรมชาติรอบตัว
4. สิ่งต่างๆรอบตัว
- สิ่งที่ใกล้ตัวเด็ก
- มีผลกระทบต่อตัวเด็ก
- สิ่งที่เด็กอยากรู้

ศิลปะ
กิจกรรมพิเศษ
-          การฉีก
-          การตัด
-          การปะ
-          การร้อยสาน
-          ประดิษฐ์

สุขศึกษา
1. การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์
2. ชีวิตและครอบครัว
3. การเคลื่อนไหวการออกกำลังกายการเล่นเกมกีฬาไทยและกีฬาสากล
3.1 การเล่นผ่านประสาทสัมผัส
4. การสร้างเสริมสุขภาพสมรรถภาพและการป้องกันโรค
4.1 การดูแลรักษาความสะอาดของประสาทสัมผัส
5. ความปลอดภัยในชีวิต
5.1การดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง




บันทึกการเรียนครั้งที่  5
วันจันทร์ ที่ 12 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
เนื้อการเรียน
นำเสนอ
การจัดการเรียนการสอนแบบสตอรี่ไลน์ (Storyline)
วิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์ เป็นวิธีที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จะมีการผูกเรื่องแต่ละตอนให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเรียงลำดับเหตุการณ์ หรือที่เรียกว่า กำหนดเส้นทางเดินเรื่อง โดยใช้คำถามหลักเป็นตัวนำ สู่การให้ผู้เรียนทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย เพื่อสร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนตามสภาพจริง ที่มีการบูรณาการระหว่างวิชา เพื่อเป้าหมายพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนทั้งตัว
ลักษณะเด่นของวิธีสอน
1.กำหนดเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และจัดเรียงเป็นตอนๆ (Episode) ด้วยการใช้คำถามหลัก (Key Questions) เป็นตัวกำหนดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้
2.เน้นการใช้กิจกรรม (Activity Based Approach) ให้สอดคล้องกับคำถามหลัก และเนื้อหาการผูกเรื่อง ซึ่งมีดังนี้
                1) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากที่สุด
                2) ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
                3) ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นกระบวนการควบคู่กับความรู้
                4) เน้นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3.เน้นให้ผู้เรียนสร้าง (Construct) ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถพัฒนาผู้เรียน ทั้งด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ เจตคติ (Heart) และด้านทักษะปฏิบัติ (Hands) เป็นวิธีสอนที่ให้อำนาจแก่ ผู้เรียน (Learner Empowerment) คือ ให้โอกาสสร้างความรู้หรือปรับแต่งโครงสร้างความรู้ด้วย ตนเองอย่างเป็นอิสระ และแสดงถึงกระบวนการในการได้มาซึ่งความรู้นั้นๆ รับผิดชอบต่อ ความรู้ที่สร้างขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Long Life Learning)
4.เป็นการเรียนตามสภาพจริง (Authentic Learning) มีการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration)
5.มีเหตุการณ์ (Incidents) เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้แก้ไขปัญหาและเรียนรู้
6.แต่ละเรื่อง หรือแต่ละเหตุการณ์ที่กำหนด ต้องมีการระบุสิ่งต่อไปนี้ หรือมีองค์ประกอบต่อไปนี้               
                1) กำหนดฉาก โดยระบุสถานที่และเวลาโดยเฉพาะ
                2) ตัวละคร อาจเป็นคนหรือเป็นสัตว์
                3) วิถีการดำเนินชีวิตเพื่อใช้ศึกษา
                4) ปัญหาที่รอการแก้ไข

บทบาทของครูและผู้เรียนเมื่อใช้วิธีสอนแบบสตอรีไลน์ 
บทบาทของครู
1.เป็นผู้เตรียมการ ในเรื่องต่างๆ ได้แก่
                1)กรอบแนวคิดของเรื่องที่จะสอนโดยเขียนเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และกำหนดเรื่องเป็นตอนๆ (Episode) โดยแต่ละหัวข้อเรื่องในแต่ละตอนได้จากการบูรณาการ
                2)เตรียมคำถามสำคัญหรือคำถามหลัก เพื่อใช้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์และลงมือปฏิบัติ

2.เป็นผู้อำนวยความสะดวกระหว่างการเรียนการสอน เช่น
1)เป็นผู้นำเสนอ (Presenter) เช่น นำเสนอประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน
2)เป็นผู้สังเกต (Observer) สังเกตขณะผู้เรียนตอบคำถาม ถามคำถาม ปฏิบัติกิจกรรม รวมทั้งสังเกตพฤติกรรมอื่นๆ ของผู้เรียน
3) เป็นผู้ให้กระตุ้น (Motivator) กระตุ้นความสนใจ ผู้เรียน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเรียนอย่างแท้จริง
4) เป็นผู้ให้การเสริมแรง (Reinforcer) เพื่อให้เพิ่มความถี่ของพฤติกรรมการเรียน
5) เป็นผู้แนะนำ (Director)
6) เป็นผู้จัดบรรยากาศ (Atmosphere Organizor) ให้บรรยากาศการเรียนการสอนดีทั้งด้านกายภาพและด้านจิตสังคม เพื่อให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข
7)เป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Reflector) ให้การวิพากย์วิจารณ์ข้อดี ข้อบกพร่อง เพื่อให้พฤติกรรมคงอยู่ หรือปรับปรุง แก้ไข พฤติกรรมการเรียน
8)พฤติกรรมระหว่างหาความรู้ (Performance) และประเมินผลงาน (Product) ซึ่งอาจเป็นองค์ความรู้ และ/หรือ ผลงาน
3.เน้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการ (Process Oriented) มากกว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาสาระ (Content Oriented)
4.เน้นการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration) หรือผสมผสานระหว่างวิชาในหลักสูตร (Interdisciplinary)
5.เป็นแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้แหล่งหนึ่งที่ให้ผู้เรียนซักถาม ปรึกษาเพื่อค้นคว้าหาความรู้
6.เป็นผู้ริเริ่มประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน และต้องจัดกิจกรรมเพื่อจบลงด้วยความตื่นเต้น ความพอใจ ทั้งครู ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และคนในชุมนุม เป็นต้น
บทบาทของผู้เรียน
1.เป็นผู้ศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองในทุกเรื่องตามที่ครูกำหนด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
2.ดำเนินการเรียนด้วยตนเอง เพื่อให้การเรียนสนุกสนาน ตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และท้าทายอยู่ตลอดเวลา
3.มีส่วนร่วมในการเรียนทั้งร่างกาย จิตใจและการคิด ในทุกสถานการณ์ที่ครูกำหนดขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนสถานการณ์ในชีวิตจริง
4.เรียนทั้งในห้องเรียน (Class) และในสถานการณ์จริง (Reality) เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม
5.ตอบคำถามสำคัญ หรือคำถามหลัก (Key Questions) ที่ครูกำหนดจากประสบการณ์ของตนเอง หรือประสบการณ์ในชีวิตจริง
6.มีความกระฉับกระเฉง ว่องไว ในการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เช่น สามารถจำ พิจารณา ทำตามคำแนะนำของครูได้อย่างดี
7.ทำงานด้วยความร่วมมือร่วมใจ อาจจะทำงานเดี่ยว เป็นคู่ เป็นกลุ่ม ได้ด้วยความเต็มใจและด้วยเจตคติที่ดีต่อกัน
8.มีความสามารถในการสื่อสาร เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน มีทักษะสังคม รวมทั้งมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนในกลุ่มอื่นๆ และกับครู
9.เป็นผู้มีความสามารถแก้ปัญหา คิดริเริ่มสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์
10.เป็นผู้สามารถสร้างความรู้ (Construct) ด้วยตนเอง และเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ประโยชน์ของการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสตอรีไลน์
1.เป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนจำได้ถาวร (Retention) ซึ่งการเรียนแบบนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการทบทวนความรู้เดิม และประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
2.ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียน (Participate) ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา สังคม เป็นการพัฒนาทั้งตัว
3.ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมตามประสบการณ์ชีวิตของตน และเป็นประสบการณ์จริงในชีวิตของผู้เรียน
4.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีการเบื่อหน่าย
5.ผู้เรียนจะได้สร้างจินตนาการตามเรื่องที่กำหนด เป็นการเรียนรู้ด้านธรรมชาติ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง วิถีชีวิต ผสมผสานกันไป อันเป็นสภาพจริงของชีวิต
6.ผู้เรียนจะได้พัฒนาความคิดระดับสูง คิดไตร่ตรอง คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิด แก้ปัญหา คิดริเริ่ม คิดสร้างสรรค์
7.ลักษณะกิจกรรม เป็นการพัฒนาให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์
8.ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวสู่สิ่งไกลตัว เช่น เรียนตัวของเรา บ้านของเรา ครอบครัวของเรา ชุมชนของเรา ประเทศของเรา และประเทศเพื่อนบ้าน เป็นไปตามระดับสติปัญญาของผู้เรียน
9.ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นสุข สนุกสนาน เห็นคุณค่าของงานที่ทำ และงานที่นำไปนำเสนอต่อเพื่อนต่อชุมนุม ทำให้เกิดความตระหนัก เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง

Story Line เป็นเทคนิคการสอนอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งคิดค้นและพัฒนาในสกอตแลนด์ โดย สตีพ เบล ( Steve Bell ) และ ซัลลี่ ฮัคเนส ( Sallie Harkness )
องค์ประกอบที่สำคัญของ Story Line
                การสร้างเรื่องใน Story Line เป็นการดำเนินเรื่องที่ต่อเนื่อง ประดุจเส้นเชือก โดยมี คำถามหลักเป็นตัวดำเนินการ องค์ประกอบที่สำคัญในการสอนแบบ Story Line คือ
1. ตัวละคร หมายถึงบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ผูกขึ้นมา
2. ฉาก หมายถึง การระบุลักษณะของสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏ ตามหัวเรื่อง
3. การดำเนินชีวิต หมายถึงการดำเนินชีวิตของตัวละคร ว่า ใครทำอะไรบ้าง
4. เหตุการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้น หมายถุงเหตุการที่ดำเนินชีวิตของละคร เช่น
เหตุการณ์อะไรที่เป็นปกติ เหตุการณ์อะไรที่ต้องแก้ไข เหตุการณ์อะไรที่ต้องดีใจ หรือแสดงความยินดี
ขั้นตอนการสอนแบบ Story Line
1. ศึกษาหลักสูตร เพื่อเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ ทักษะและ ประสบการณ์ เพื่อวางแผนในการกำหนดหัวเรื่อง
2. กำหนดหัวเรื่อง ควรเป็นเรื่องที่เด็ก ๆ สนใจ ช่วยขยายความรู้ของเด็ก
3. เตรียมการผูกเรื่องหรือเส้นทางการดำเนินเรื่อง
4. ตั้งคำถามหลักหรือคำถามสำคัญ ซึ่งจะทำหน้าที่เชื่อมโยงการดำเนินเรื่องในแต่ละตอน เป็นตัวกระตุ้นผู้เรียน หรือเปิดประเด็นให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์นำสาระการเรียนรู้เข้าด้วยกัน
ตัวอย่าง
การออกแบบของผู้ประสบภัยน้ำท่วมมากคนให้แบ่งกลุ่มและช่วยกันสร้างบ้านของกลุ่มตนเองมาแล้วมารวมกันเป็นหมู่บ้าน
เด็กจะได้เรียนรู้การดำเนินชีวิตการเล่าเรื่องเหตุการณ์ กฎระเบียบ



กลุ่มที่ 8 การสอนแบบวอลดอร์ฟ
การสอนแบบวอลดอร์ฟศักยภาพของตัวเลขและธรรมชาติความจริงของชีวิต สภาพแวดล้อมของโรงเรียนเหมือนบ้านกิจกรรมเหมือนการทำกิจวัตรประจำวันในบ้าน (งานบ้าน)
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟ เป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรรมต่างๆ โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวก เน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี เพื่อพัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อม และได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่างพอเหมาะ
จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
โรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวตามมนุษยปรัชญา เพื่อพัฒนามนุษย์ให้ได้ถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ เป้าหมายของการศึกษาวอลดอร์ฟคือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระตามกำลังความสามารถของตัวเอง
การศึกษาแนววอลดอร์ฟนี้จึงเน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ


โรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟจะสอนตามพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะวัย 0-7 ปีเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางกายมาก จึงเน้นไปที่การเล่นเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วนต่างๆ เด็กจะได้เป็นผู้ลงมือกระทำ ได้แสดงออกเพื่อฝึกการคิดและจินตนาการทั้งในวิชาทางด้านศิลปะ ดนตรี การวาดเขียน และในงานภาคปฏิบัติอื่นๆ
สิ่งที่การเรียนแนววอลดอร์ฟเน้นมากคือ "จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้จะต้องเป็นธรรมชาติ เช่น ถ้าวาดรูป สีที่ใช้ก็จะมีแค่สีปฐมภูมิ คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เท่านั้น แนวคิดนี้จะทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน มองเห็นว่าโลก สิ่งแวดล้อม และสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันต้องช่วยกันรักษา ซึ่งส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็น
กิจกรรมที่มุ่งเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ ไม่มีห้องเรียน ไม่มีกระดานดำ แต่จะมีมุมต่างๆ ให้เด็กได้เรียนรู้ ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์ หรือหากเด็กๆ ต้องการเล่นตุ๊กตา เล่นรถ ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ จะคิดฝันให่ออกมาเป็นอะไร หรือกำลังเล่นอะไร เช่น การวาดรูปด้วยสีน้ำ ปั้นดินเหนียว ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร งานฝีมือ ล้างจาน เป็นต้น
กิจกรรมที่อยู่ในโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟเหล่านี้จะทำให้เด็กเห็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้เด็กได้เข้าใจแนวทางพื้นฐานในการปรับตัวเข้ากับชีวิต และกระตุ้นความร่วมมือของเด็ก การเรียนรู้ทุกอย่างจึงต้องเป็นไปอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนกับเป็นประสบการณ์จริง ได้สนใจหลายๆ ด้าน เด็กผู้หญิงเด็กผู้ชายสามารถได้ทำทุกอย่าง ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับเด็ก
ครูผู้ดูแลต้องใส่ใจในรายละเอียด เพราะกิจกรรมแต่ละตัว เด็กอาจมีวิธีการของเขาเอง ครูไม่สามารถปิดกั้นว่าเขาต้องทำตาม ซึ่งหากทำได้แบบนี้จะส่งผลให้เด็กได้รู้จักคิดพลิกแพลง ยืดหยุ่นเข้ากับสถานการณ์ทั้งในเชิงความคิด และวิธีการมองปัญหา
เด็กๆ ของโรงเรียนวอลดอร์ฟมักจะได้ลงมือทำกิจกรรมมากที่สุดเพราะเป็นวิธีเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม ดีกว่าที่ครูจะมาพูดปากเปล่า เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วจึงค่อยมาสรุปเป็นแนวคิด เช่น ให้ลงมือทำขนมปังเอง เด็กทุกคนจะเห็นกระบวนการตั้งแต่แรก ที่มาที่ไปว่าแป้งมาจากไหน เริ่มจากข้าวเปลือก ได้สีเมล็ดข้าวเองด้วยเครื่องสีข้าว ได้โม่ข้าวด้วยเครื่องโม่ พอเป็นแป้งแล้วก็นำไปนวด นำไปอบเป็นขนมปัง แต่ละขั้นตอนสะท้อนให้เห็นความละเอียดอ่อนของจิตใจมากกว่าที่จะใช้วิธีพูดสอน

การได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จะเป็นการสร้างความอดทนและปลูกฝังให้เด็กสำนึกในบุญคุณต่อสิ่งที่ได้รับจากธรรมชาติและมนุษย์ แทนที่จะบริโภคอย่างฉาบฉวย ก็จะเห็นคุณค่าของการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
รูดอร์ฟ สไตเนอร์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้ริเริ่มแนวการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนจะซึมซับสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ได้ง่าย ดังนั้นการจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ มีการเน้นความงดงามตามธรรมชาติ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล แสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จัดจ้า ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นให้เกิดขึ้นในจิตใจเด็ก เด็กจะมีพลัง ตื่นตัว และมีสมาธิในการเรียนรู้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนโรงเรียนวอลดอร์ฟ
การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อม ให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไป เด็กจะพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้ โดยการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเป็นไปอย่างสมดุล โดยการเรียนรู้ทางกาย(การลงมือทำ) หัวใจ(ความรู้สึก ความประทับใจ) และสมอง(ความคิด)
การเรียนการสอนในแนววอลดอร์ฟนี้ เป็นการสอนเพื่อพัฒนามนุษย์ให้ได้ถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ การนำวิธีการสอนแบบวอล์ดอร์ฟจำเป็นต้องนำทั้งระบบการศึกษาไปใช้ควบคู่กับรูปแบบ ดังนั้นพ่อแม่ต้องพิจารณาความเหมาะสมของสถานศึกษาอย่างรอบคอบก่อนส่งลูกไปเรียนด้วย
กลุ่มที่ 9 ภาษาธรรมชาติ
โรงเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole language Approach) เป็นโรงเรียนที่มีแนวการสอนภาษาแบบบูรณาการ โดยมีปรัชญาหรือแนวคิดว่า เด็กเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่จะเรียนรู้ภาษาได้ด้วยตัวเองจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ผ่านการพูด ฟัง อ่าน เขียน โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้นั้นๆ เอง ไม่ใช่การฝึกให้เด็กท่องจำเป็นคำๆ หรือสอนว่าควรอ่านก่อน ถึงจะเรียนเขียน แต่สอนให้เด็กเข้าใจความหมายของคำเป็นประโยคเพื่อใช้ในการสื่อสารเป็นหลัก
แนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติจึงอาจสรุปได้ว่า เป็นการจัดประสบการณ์ให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาจากสิ่งที่มีความหมายในชีวิตประจำวัน โดยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ภาษาในการสื่อสาร เช่น การถามตอบง่ายๆ การเล่านิทาน การช่วยกันแต่งนิทาน การแสดงบทบาทสมมติ เป็นต้น โดยมีครูเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาให้เด็กพัฒนาทักษะทางภาษาทั้งในด้าน การฟัง พูด อ่าน และเขียน และกระตุ้นให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูในบรรยากาศที่อบอุ่น
แนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
แนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติเชื่อว่าเด็กเกิดมาพร้อมความสามารถในการเรียนรู้ภาษาได้จากสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ชีวิตประจำวัน การเลียนแบบ ไม่เน้นให้เด็กต้องท่องตัวอักษรได้ ไม่เน้นการท่องจำเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ตามการเรียนการสอนทั่วไป เด็กไม่ต้องฝึกทักษะตามขั้นตอน เช่น ต้องเขียนได้ก่อน แล้วถึงจะเรียนการอ่าน แต่จะพัฒนาทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนไปพร้อมๆ กัน
การฟัง เด็กจะได้ฟังการเล่านิทาน เพลงนิทาน เพลงสอนแปรงฟัน และเพลงต่างๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะทางการฟังภาษา โดยเนื้อเพลงจะต้องเป็นภาษาที่ถูกต้อง ชัดเจน และเมื่อเด็กฟังแล้วจะได้เชื่อมโยงสิ่งที่อยู่รอบตัวเข้ากับคำที่ได้ยิน เช่น ใช้แปรงสีฟันแปรงฟันให้สะอาด เด็กก็จะเชื่อมโยงคำว่าแปรงสีฟันเข้ากับแปรงสีฟันของตัวเองที่ใช้แปรงฟันทุกวัน รวมถึงมีเกมง่ายๆ อย่างเกมจับคู่ภาพกับสิ่งที่ได้ยิน
การพูด การอ่าน เด็กจะได้รับคำถามจากครูเพื่อให้ตอบ กล้าแสดงความคิดออกมาเป็นคำพูด มีการแสดงละครเล็กๆ การแสดงบทบาทสมมติ มีชั่วโมงการเล่านิทานที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เปิดหนังสือเพื่อดูภาพและเล่าเรื่องจากภาพเอง ซึ่งสิ่งที่เด็กเล่าออกมาอาจจกคนละเรื่องกับหนังสือนิทานก็ได้ แต่เน้นให้เด็กได้เห็นภาพและเชื่อมโยงออกมาเป็นคำพูด หรือการอ่าน และการพูด การอ่านนั้นไม่มีถูกหรือผิด แต่ครูผู้ดูแลจะคอยสนับสนุนให้เด็กกล้าใช้ภาษา และหากคำไหนพูดไม่ชัด ผิดเพี้ยน ครูก็จะช่วยพูดแก้ไขให้เด็กพูดตามได้ชัดเจนแบบค่อยเป็นค่อยไป
การเขียน เด็กจะได้วาดภาพตามสิ่งที่ครูบอก หรือทำกิจกรรมกลุ่ม เช่น การช่วยกันวาดภาพนิทานและใส่ชื่อตัวเองลงในภาพ นอกจากนี้อาจจะมีการสะกดคำง่ายๆ ซึ่งไม่ใช่การท่องจำ แต่จะเป้นการสอนในรูปประโยคที่ทำให้เด็กเชื่อโยงไปสู่การฟัง การพูด และการอ่าน เช่น สอนคำว่า ลิง ครูจะไม่สอนแค่ ลอ สระอิ งอ แต่จะสอนว่าลิงหมายถึงอะไร และยกตัวอย่างประโยคให้เด็กเข้าใจและชเอมโยงไปสู่คำอื่น รวมถึงทำให้เด็กสร้างประโยคขึ้นเองได้ บางครั้งการเขียนของเด็กที่เรียนแนวสอนภาษาแบบธรรมชาติจะเป็นการเขียนเชิญสัญลักษณ์ เด็กจะอาจจะเขียนสัญลักษณ์ขึ้นมาแทนคำบางคำ ดังนั้นเด็กที่เรียนแนวนี้จึงอาจจะยังเขียนไม่เป็นตัวหนังสือที่ถูกต้องแบบเด็กระดับเดียวกันในโรงเรียนอื่นที่มีการท่องจำ แต่จะค่อยๆ เรียนรู้ความหมายและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องได้เองในที่สุด
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
การสอนภาษาแบบธรรมชาติจะ ต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้เด็กได้คุ้นเคยกับการใช้ภาษาอย่างมีความหมาย และเป็นองค์รวมนั้น และส่งเสริมให้เด็กกล้าใช้ภาษาเองโดยไม่มีใครมาบังคับหรือสอนให้ท่องจำ
ในห้องเรียนที่สอนภาษาแบบธรรมชาติจะ จัดให้มีมุมที่ส่งเสริมเรื่องภาษาอย่างชัดเจน เช่น มุมห้องสมุด มุมอ่าน มุมเขียน มุมบทบาทสมมุติ มุมวิทยาศาสตร์ มุมบล็อก เป็นต้น โดยทุกมุมจะมีป้ายสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายต่างๆ ที่มีความหมายในการสื่อสารกับเด็ก มีบรรยากาศของการเรียนรู้แบบร่วมมือ เด็กมีโอกาสและเวลาที่จะตัดสินใจเลือกลงมือปฏิบัติกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ ด้วยตนเอง เด็กๆ สนใจที่จะอ่านและเขียนจากความเข้าใจและประสบการณ์ของตัวเองอย่างอิสระและมี ความสุข
บทบาทของครูและผู้ปกครองกับแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
ครู ครูจะมีหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยในการเรียนรู้ของเด็กเท่านั้น เช่น การจัดมุมต่างๆ ให้เด็กได้มาฝึกภาษาอย่างรอบด้าน เตรียมอุปกรณ์ให้เด็กได้ใช้อย่างอิสระและปลอดภัย ส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออกในการใช้ภาษา เป็นกำลังใจเมื่อเด็กไม่กล้า หรือทำผิดพลาด สนับสนุนให้เด็กกล้าเสี่ยงที่จะอ่านและเขียนคำที่ไม่เคยพบมาก่อน ยอมรับสิ่งที่เด็กอ่านและเขียน และตอบสนองต่อความพยายามของเด็กในทางบวก ไม่ตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเด็กอ่านหรือเขียนยังไม่ถูก รวมถึงครูต้องเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนให้เด็กๆ เช่น อ่านนิทานให้ฟัง เล่านิทานให้ฟัง หรือถามคำถามที่ให้เด็กได้แสดงออกง่ายๆ เด็กก็จะทำตามได้
ผู้ปกครอง - ผู้ปกครองสามารถช่วยพัฒนาภาษาของเด็กได้โดยการสนทนาและตอบคำถามของเด็กอย่าง สม่ำเสมอ จัดหาหนังสือนิทานให้เด็ก อ่านหนังสือให้เด็กฟังเป็นประจำทุกวัน ส่งเสริมให้เด็กอ่านจากสิ่งแวดล้อม เช่น ป้ายโฆษณา กล่องสินค้า ป้ายประกาศ ฯลฯ จัดให้เด็กมีโอกาสอ่านและเขียนทุกวัน ให้ความสนใจในสิ่งที่เด็กอ่านหรือเขียนเพื่อเป็นกำลังใจแก่เด็กและเพื่อให้ เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านและการเขียน พยายามไม่วิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิสิ่งที่เด็กเขียนเพราะจะทำให้เด็กขาดความ มั่นใจว่าตนเองมีความสามารถในการอ่านและเขียน และผู้ปกครองควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา
สิ่งที่เด็กจะได้รับจากแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
-          เด็กจะฟัง พูด อ่าน เขียนได้โดยวิธีธรรมชาติและได้พัฒนาทักษะดังกล่าวไปพร้อมๆ กันอย่างเชื่อมโยง เพราะเกิดจากการคุ้นเคยกับหนังสือและมีประสบการณ์กับตัวหนังสือที่มาพร้อมกับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
-          เด็กจะมีทัศนคติที่ดีกับภาษา เพราะเด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาด้วยตนเอง ไม่โดยบังคับให้ท่องจำ หรือมีการทำโทษเมื่อพูดผิด เขียนผิด
-          เด็กจะชินกับการเรียนรู้ภาษาจากสิ่งรอบตัว และฝึกฝนให้เป็นนักอ่าน นักเรียนรู้ภาษาที่ดี เช่น จากหนังสือพิมพ์ จากนิทาน จากข้อความบนฉลากอาหาร เป็นต้น
-          เด็กจะรู้จักการเข้าสังคม และการใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้อื่นอย่างชัดเจนและถูกต้อง ส่งเสริมให้เป็นคนมีบุคลิกภาพที่ดี
-          เด็กจะมีจินตนาการ และพัฒนาการที่สมวัย เพราะเรียนรู้จากการสร้างสัญลักษณ์แทนภาษาขึ้นมาก่อนจะพัฒนามาสู่การเรียนการสอนแบบอ่านออกเขียนได้ และการใช้ประสบการณ์รอบตัวเป็นเครื่องมือสอนภาษาจะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมากที่สุด ทำให้เด็กรู้จักใช้ทรัพยการรอบๆ ตัวอย่างมีประโยชน์และเข้าใจความต้องการของตัวเองก่อนที่จะโดนรุกล้ำจากสิ่งเร้าภายนอก
สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนตัดสินใจให้ลูกเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจจากแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ พ่อแม่ต้องไม่คาดหวังว่าลูกจะอ่านออกเขียนได้ทันทีเหมือนเด็กในโรงเรียนอื่นๆ เช่น เด็กอนุบาล 3 รุ่นเดียวกันในโรงเรียนอื่นเขียนชื่อตัวเองได้แล้ว เขียนประโยคสั้นๆ ได้ สะกดได้ อ่านประโยคง่ายๆ ได้ แต่ลูกเราที่เรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติยังเขียนไม่ได้ อ่านประโยคง่ายๆ ไม่ได้ เพราะแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ จะฝึกให้เด็กเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเรียนรู้ความหมายจากสิ่งรอบตัว ดังนั้นลูกเราจะรู้ความหมายของคำ ใช้คำนั้นเป็น และรู้แบบการใช้สัญชาตญาณที่จะจำไปตลอด ไม่ใช่แค่การท่องจำที่จะลืมได้ตลอดเวลาถ้ามีความรู้ใหม่ๆ เข้ามา
ถ้าพ่อแม่ตัดสินใจให้ลูกเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติจะต้องไม่เร่งรีบ แต่ควรส่งเสริมลูกไปพร้อมๆ กับการเรียนที่โรงเรียน เช่น ชวนลูกเล่านิทาน ชวนอ่านข้อความสั้นๆ ที่เจอในชีวิตประจำวัน หรือสอนศัพท์ง่ายๆ จะช่วยให้ลูกมีทักษะการเรียนรู้ภาษาและการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ไวขึ้น เพื่อพัฒนาไปสู่การเรียนรู้อื่นๆ
และคุณครูให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มการจัดประสบการณ์จำนวน 7 กลุ่ม