บันทึกการเรียนครั้งที่ 12
วันจันทร์ ที่ 2 เดือน เมษายน พ.ศ. 2561
เนื้อการเรียน
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาที่ต้องอาศัยสมองจัดกระทำกับข้อมูลต่าง
ๆ ที่ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าเข้าไปในสมอง กระบวนการทางสติปัญญานี้เราอาจเรียกว่า
กระบวนการคิด ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งของการเรียนรู้นั้นเอง
ทฤษฎีการเรียนรู้ตามธรรมชาติสมอง (Brain-Based
Learning) หรือ BBL เกิดจากความสนใจของนักการศึกษา
นักจิตวิทยา และนักวิทยาศาสตร์ด้านสมอง มองว่า
การจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนที่แบ่งเป็นระดับชั้นต่าง ๆ ไม่ใช่
การเรียนรู้ที่แท้จริงของมนุษย์ แต่เป็นวิธีคิดของมนุษย์ที่จะจัดการ ศึกษา
เรียนรู้ ให้สอดคล้องกับข้อจำกัดที่มีอยู่ เช่น ผู้สอนจำนวนน้อย กับ
ผู้เรียนจำนวนมากและหลากหลาย การแบ่งชั้นเรียนตามช่วงอายุของผู้เรียน
เพื่อสะดวกในการจัด
ทฤษฎีการเรียนรู้ตามธรรมชาติสมอง
เป็นแนวทางจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีการทำงานของสมอง
และธรรมชาติสมองของเด็กแต่ละคน โดยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้
เราสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานของสมองได้ด้วยการกระตุ้นที่เหมาะสม
เพื่อเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเรียนรู้ ได้แก่ ยีนส์ อาหาร
การออกกำลังกาย ดนตรี ศิลปะ ความรัก ความรู้สึกท้าทาย และการได้ข้อมูลย้อนกลับ
เป็นต้น
หน้าที่ของสมอง
สมองทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญของร่างกาย
เช่น การทำงานของหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมนต่าง ๆ รวมทั้ง สติปัญญา ความคิด
การเรียนรู้ ความฉลาด พฤติกรรม และบุคลิกภาพของคน
การทำงานของสมอง
สมองมีองค์ประกอบที่ซับซ้อนมากมาย
สมองของคนเราไม่ได้ทำงานแยกกันเป็นซีกซ้าย ซีกขวา แต่ทำงานเชื่อมโยงกันทั้งหมด
สมอง แบ่งเป็น 3
ส่วนหลัก คือ สมองซีกซ้าย-ขวา สมองส่วนหน้า-หลัง และ สมองส่วนบน-ล่าง
ในสมองแต่ละซีกประกอบด้วย
กลุ่มเซลล์ประสาทนับล้านกลุ่มที่ติดต่อถึงกันด้วยเส้นใยประสาท โดยเซลล์ประสาท 1
ตัว จะมีเส้นใยประสาทติดต่อกับเซลล์ประสาทอื่น หรือในกลุ่มอื่นเป็นหมื่น ๆ เส้นใย
และเชื่อมต่อไปยังเซลล์ประสาทในสมองซีกตรงข้าม เช่น
สมองซีกซ้ายเชื่อมต่อกับสมองซีกขวา สมองส่วนหน้าเชื่อมต่อกับสมองส่วนหลัง เป็นต้น
เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์จะติดต่อกลับไปกลับมาระหว่างเซลล์
และกลุ่มเซลล์ประสาท
ทำให้ไม่ว่าจะมีปฏิบัติการอย่างใดเกิดขึ้นก็สามารถมีผลต่อสมองทั้งสมองได้
เซลล์ประสาทแต่ละตัวจะรับข้อมูลเข้าและส่งข้อมูลออกในเวลาเดียวกัน
การเชื่อมโยงโต้ตอบผ่านใยประสาท ทำให้สมองแต่ละส่วนทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
การเรียนรู้หรือการทำงานต่าง ๆ ของคนเกิดจากการทำงานร่วมกันของสมอง
ไม่ได้ใช้สมองเพียงซีกใดซีกหนึ่งเท่านั้น
ความสามารถของสมอง
นักจิตวิทยาได้ค้นพบความสามารถด้านการคิดของสมองที่ช่วยให้มนุษย์สามารถแก้ปัญหาต่าง
ๆ ได้ สามารถสร้างสรรค์และค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ช่วยอำนวยความสะดวก
ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุข
สมองมีความสามารถอย่างน้อย 3 ประการ คือ
1.
ความสามารถสร้างภาพในใจ ภาพในใจ หรือ
ภาพในความคิด (Mental Image) เป็นสิ่งที่สมองสร้างขึ้น
เมื่อประสาทสัมผัสรับข้อมูล จะส่งสัญญาณสู่สมอง
สมองจะนำข้อมูลที่ได้รับไปเปรียบเทียบกับสิ่งของประเภทเดียวที่เก็บไว้ในความทรงจำ
โดยเชื่อมโยงข้อมูลความรู้ประสบการณ์ในอดีต แปรข้อมูลที่ได้รับเป็นภาพ ตามที่ตนเข้าใจอย่างอัตโนมัติ
สมองสามารถสร้างภาพต่าง ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องมองเห็น
ภาพที่เกิดขึ้นในใจเป็นส่วนสำคัญของการคิด เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการจินตนาการ
ซึ่งทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา และการพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ
2.
ความสามารถสร้างมโนทัศน์ คนเราสร้างมโนทัศน์ของทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรม
และสิ่งที่เป็นนามธรรม ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจดจำ การจำแนก แยกแยะ
การจัดหมวดหมู่ การค้นหาลักษณะเด่นพิเศษ
ซึ่งช่วยให้สมองสามารถจัดระเบียบข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบง่าย ๆ
เพื่อให้ง่ายต่อการบันทึกเป็นความทรงจำ และนำกลับมาใช้
และช่วยให้เกิดความเข้าใจในการรับรู้ข้อมูลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันได้ง่ายขึ้น
3.
ความสามารถใช้เหตุผลเพื่อการตัดสินใจ คนเรามักใช้เหตุผลแบบนิรนัย (Deductive
Reasoning) และแบบอุปนัย (Inductive Reasoning)
การใช้เหตุผลแบบนิรนัยยึดหลักว่า เราเชื่อว่า
สิ่งที่นำมาอ้างนั้นถูกต้องเป็นจริง ดังนั้น ย่อมนำไปสู่ข้อสรุปที่เป็นจริงด้วย
ข้ออ้างต่าง ๆ ที่เราคิดว่า เป็นจริง จะเป็นเหมือนฐานข้อมูลในสมอง
เมื่อมีข้อมูลหรือข้ออ้างใหม่ ๆ เข้ามา
เราจะเอาเข้ามาเปรียบเทียบเพื่อหาข้อสรุปว่า เราจะตัดสินเรื่องนั้นอย่างไร
โดยข้อสรุปของเราจะถูกต้อง ถ้าข้ออ้างที่เราคิดนั้นถูกต้อง
การใช้เหตุผลแบบอุปนัย
เป็นกระบวนการใช้เหตุผลโดยสรุปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน
อย่างเฉพาะเจาะจงหลาย ๆ กรณี
การจัดการเรียนรู้ให้สัมพันธ์กับสมอง
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญกับการทำงานของสมอง
ทฤษฎีหนึ่ง คือ ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ของ
Howard Gardner ทฤษฎีนี้ให้แนวทางในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถของคนเราที่มีถึง
8 ด้าน ได้แก่
1. ภาษาศาสตร์ (Linguistic
Ability) ความสามารถในการใช้ภาษา ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน
2. ตรรกะ - คณิตศาสตร์ (Logical-Mathematic
Ability) ความสามารถในการใช้เหตุผล และตัวเลข
3. มิติสัมพันธ์ (Spatial
Ability) ความสามารถในการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างระยะ ขนาด
ตำแหน่ง และการมองเห็น (มิติ)
4. การเคลื่อนไหวของร่างกาย (Bodily-Kinesthetic
Ability) ความสามารถในการควบคุม และการแสดงออกผ่านอวัยวะส่วนต่าง ๆ
ของร่างกาย เช่น มือ เท้า
5. ดนตรี (Musical Ability) ความสามารถที่จะซึมซับ และเข้าถึงสุนทรียทางดนตรี แยกแยะ และแสดงออก
6. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal
Ability) ความสามารถในการเข้าใจ รับรู้ แยกแยะความแตกต่างในอารมณ์
สมาธิ แรงกระตุ้น แรงจูงใจ และความรู้สึกของผู้อื่น
7. ความเข้าใจตนเอง (Intrapersonal
Ability) ความสามารถในการเข้าใจตนเองและปรับตัวบนฐานแห่งความเข้าใจนั้น
8. การเข้าถึงลักษณะธรรมชาติ (Naturalist
Ability) ความสามารถในการรู้จักและเข้าใจธรรมชาติ
ชีวิตในสิ่งแวดล้อมทั้งของสัตว์และของพืช
ผู้สอนต้องค้นหาความสามารถเหล่านี้ในตัวผู้เรียนแต่ละคนให้พบแล้ว
จัดการศึกษาที่ส่งเสริมและกระตุ้นความสามารถนั้น ๆ นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการทำงานของสมองตามธรรมชาติ
ควรจัดการเรียนรู้ให้มีลักษณะดังต่อไปนี้
1.
การเรียนรู้ในขณะที่ผู้เรียนมีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสม เช่น ไม่อิ่ม หรือ หิวเกินไป
มีการพักผ่อนเพียงพอ
2. การเรียนรู้มีความสามารถต่อชีวิต หรือ
เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของผู้เรียน
3. การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีใจจดจ่อ หรือ
มีสมาธิ โดยมีการกระตุ้นผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ มีการพัก
และทบทวนสิ่งทีเรียนรู้ไปแล้ว
4. การเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนจดจำได้
มีวิธีกระตุ้นให้ความจำอยู่ได้นาน ๆ เช่น ซักถาม ให้อธิบายสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ไป
ให้ดูภาพ หรือ ฟังเสียง เป็นต้น
5.
การเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ได้ในสถานการณ์อื่น
การเรียนการสอน
การเรียนการสอนแบบไฮสโคป
เป็นการสร้างองค์ความรู้จากการที่เด็กได้ลงมือจัดกระทำกับอุปกรณ์
หรือสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นประสบการณ์ตรง
โดยที่ครูจะเป็นคนเตรียมอุปกรณ์ให้กับเด็กและกระตุ้นให้เด็กพัฒนาและดำเนินกิจกรรม
โดยใช้หลักปฏิบัติ 3 ประการ
คือ
-
การวางแผน ( Plan
)
เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติหรือดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมาย มีการสนทนาระหว่างครับเด็ก ว่าจะทำอะไร อย่างไร การวางแผนกิจกรรมอาจจะใช้แสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็ก เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือก และตัดสินใจ
-
การปฏิบัติ ( Do
)
คือการลงมือกระทำตามแผนที่วางไว้
เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด แก้ปัญหา
ตัดสินใจและทำด้วยตนเอง
เป็นส่วนที่เด็กได้มีการพัฒนาการพูดและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง
-
การทบทวน ( Review
)
เป็นช่วงที่ได้งานตามจุดประสงค์
ช่วงนี้จะมีการอภิปรายและเล่าถึงผลงานที่เด็กทำเพื่อทบทวนว่า
เด็กสามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้หรือไม่
มีการเปลี่ยนแปลงแผนอย่างไร
และชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างแผนกับการปฏิบัติ และผลงานที่ทำ รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่างๆ
ที่ได้รับ
ทดสอบจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์วันพุธ
1. หน่วย อาหารดีมีคุณค่า
คำแนะนำ - เมื่อเล่านิทานควรมีฉากประกอบ
2. หน่วย ผีเสื้อ
คำแนะนำ - ควรร้องเพลงภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง
- สนทนาเกี่ยวกับเนื้อเพลง
3. หน่วย ประสาทสัมผัสทั้ 5
คำแนะนำ - ควรมีตารางสำหรับนำเสนอข้อมูล
4. หน่วย
บ้านแสนรัก
คำแนะนำ - ควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการติดความสัมพันธ์ของคนในบ้าน
5. หน่วย ใต้ร่มเงาไม้
คำแนะนำ - การเขียนขั้นตอนการปลูกถั่วให้เขียนเป็นกล่องข้อความแล้วใช้ลูกศรชี้ลงล่าง